เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ มี.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ โลกมันร้อน ดูสิ ขนาดพระมาบวชแล้วเขายังตามมาจองเวรจองกรรม สมัยโบราณเราเวลาบวชพระบวชเจ้าแล้วเขายกให้ เขาพอใจ นั่นโลกมันยังไม่เร่าร้อนจนเกินไป แต่นี่โลกมันเร่าร้อน ทำสิ่งใดมีแต่ความเบียดเบียนมีแต่ความกระทบกระเทือนไปทั้งนั้นแหละ สิ่งที่กระทบกระเทือนกันเพราะอะไร เพราะแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองไง ถ้าแผ่นดินธรรม แผ่นดินธรรมจะเจือจานกัน จะเห็นอกเห็นใจกัน หน้าที่การงานคือหน้าที่การงานนะ เราทำมาค้าขายมันก็ธรรมดา มันธรรมดา ถ้ามันธรรมดาแล้ว สิ่งที่มันขาดตกบกพร่องในหัวใจ สิ่งที่ขาดตกบกพร่องในหัวใจ มันปรารถนา มันต้องการให้มากไปกว่านั้นไง ถ้ามากไปกว่านั้น สิ่งนั้นมันไม่มีเหตุไม่มีผล แต่ถ้ามันมีเหตุมีผลมันเป็นเรื่องธรรมดานะ

เวลาพระเราบวชมา เวลาบวชต้องมีปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ อุปัชฌาย์ ปัตตัง นี่บาตรของเธอหรือ บาตรของเขา บาตรของเราเองนะ บาตรเรายืมใครมาไม่ได้ ต้องเป็นบาตรของเราเอง ถ้าเป็นบาตรของเราเอง ผ้าของเธอหรือ มีปัจจัย ๔ ไง คนเราต้องมีปัจจัย ๔ นะ เพราะกำเนิด ๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา กามภพ รูปภพ อรูปภพ เกิดชาติใดภพใด ใช้ชีวิตอย่างใด กินอาหารอย่างใด ดำรงชีวิตอย่างใด

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์มันต้องมีปัจจัย ๔ ถ้าปัจจัย ๔ ก็ดำรงชีวิต ถ้าขาดปัจจัย ๔ ชีวิตจะดำรงได้อย่างไร ถ้าชีวิตดำรงได้แล้ว ดำรงไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ ถ้าคนมีสติปัญญานะ แต่คนไม่มีสติปัญญาเขาก็ดำรงชีวิตไว้เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ เขาว่าสิ่งนั้นเขาทำคุณงามความดี ความดีของโลกเขา ทำสาธารณประโยชน์...ใช่ มันเป็นสาธารณประโยชน์ แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ท่านทำสาธารณประโยชน์ ท่านต้องเอาตัวท่านรอดให้ได้ก่อน ถ้าเอาตัวท่านเองรอดได้แล้วมันจะเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ตั้งแต่ภายใน ถ้าความสะอาดบริสุทธิ์ตั้งแต่ภายใน แม้แต่คิดอกุศลมันยังเป็นไปไม่ได้ ทำสิ่งใดมันจะเป็นกุศลโดยข้อเท็จจริง

แต่จิตใจของเรานะ เราเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่เราทำสิ่งใดไป เวลามันอัตคัดขาดแคลน เวลามันขาดตกบกพร่อง มันมีความน้อยเนื้อต่ำใจ น้อยเนื้อต่ำใจเพราะว่า “เราทำความดีแล้วทำไมมันยังทุกข์ยังยากขนาดนี้ เราทำคุณงามความดีแล้วทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้” ความดีเป็นความดีประจำโลกไง ต้นทุนเท่ากันไง ต้นทุนคือการเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนนะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วเราค้นตัวของเราเจอไหม? เราค้นตัวของเราไม่เจอไง เราค้นได้แต่ผลของวัฏฏะ

ผลของวัฏฏะคือการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนั้น ถ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนั้น ใครเป็นผู้ที่เวียนว่ายตายเกิด เวลาเกิดมันเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ถ้าเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ นี่ผลของวัฏฏะ แต่เวลาคนเกิดล่ะ ปฏิสนธิมันเกิด ปฏิสนธิเกิด เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ไม่มีพ่อไม่มีแม่ มีแต่บาปกรรม กรรมมันพาเกิดไง โอปปาติกะนี่กรรมพาเกิด เกิดมาสำเร็จรูปเลย สิ่งนั้นปฏิสนธิจิต นี่ปฏิสนธิจิต เวลาเราจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตเป็นผู้กำหนด จิตกำหนดลมหายใจก็เป็นอานาปานสติ จิตกำหนดพุทโธมันก็เป็นพุทธานุสติ ถ้าจิตไม่กำหนดนะ สิ่งนั้นมันเป็นทางวิชาการ

วิชาการมันมีอยู่แล้วนะ ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราต้องศึกษา ศึกษามาเป็นแนวทาง เวลาศึกษามาเป็นแนวทางนะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็จะเป็นสัจจะเป็นความจริงของเรา ถ้าเป็นสัจจะความจริงของเรา มันไม่แห้งแล้ง เวลามันแห้งแล้งมันว้าเหว่ มันไม่มีที่พึ่ง เวลาพระเราเวลาจิตใจตก บอกเลย “พ่อเราก็ตายมา ๒,๐๐๐ กว่าปี เราก็เป็นลูกอนาถา เราไม่มีพ่อไม่มีแม่ เวลาปฏิบัติไปก็ปฏิบัติไปด้วยความกระเสือกกระสน”

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้ “อานนท์ ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ เป็นศาสดาของเธอ” เรามีธรรมวินัยเป็นที่พึ่ง ผู้ที่มีศีล ผู้ที่มีศีลสะอาดบริสุทธิ์จะเข้าสังคมไหน เข้าสิ่งใด เข้าที่ไหนมันก็เข้าด้วยความไม่ระแวง เพราะอะไร เพราะศีลเราสะอาดบริสุทธิ์ไง ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจล่ะ

ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ เวลาปฏิบัติ เวลาเริ่มต้นมันก็ปฏิบัติด้วยความสงบระงับ เวลามันเสื่อมไป เห็นไหม คนเรามันหมดไฟนะ เวลามันหมดไฟขึ้นมา มันท้อแท้ น้อยเนื้อต่ำใจ แต่คนเรามันมีไฟ ถ้ามันยังมีไฟอยู่ มันมีสะเก็ดไฟอยู่ เรามีเชื้อเข้าไป ใส่เข้าไปแล้วเราพยายามเป่า พยายามเร่งขึ้นมาให้มันมีไฟขึ้นมา ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ มีครูบาอาจารย์เป็นแบบนั้นไง

เวลาครูบาอาจารย์ท่านออกประพฤติปฏิบัติ หลวงตาท่านบอกว่าเวลาลาหลวงปู่มั่นไป เวลาเข้าป่าไป เวลาฮึกเหิมขึ้นมามันก็เหมือนไฟ มันเผาไหม้ตัวเอง เวลาจิตมันเสื่อมนะ มันก็เหมือนกับถ่านดำๆ นั่นล่ะ ถ่านต้องจุดไฟมันถึงติดใช่ไหม พอถ่านไฟจุดไม่ติด มันสีดำ มันมีแต่ความสกปรกทั้งนั้นแหละ เห็นไหม เวลามันฮึกเหิม ฮึกเหิมจนเผาลนตัวเองไป เวลามันมอดไหม้ไปก็เหมือนถ่าน ถ่านที่ไม่มีไฟ ถ้าถ่านไม่มีไฟ

เวลาเราประพฤติปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีนะ ถ้าเราทำสมดุล สมดุลความพอดี ความสมดุล ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี อย่างน้อยเป็นพระอนาคามี ถ้าเป็นพระอนาคามี พระอนาคามีเป็นอย่างไร เราก็ไม่รู้จัก ขณะที่เป็นเรา เรามีแต่ความทุกข์ความยากอยู่ในปัจจุบันนี้ แล้วพระอนาคามีเป็นอย่างไร พระอนาคามีอยู่สุดเอื้อมไง พระอนาคามีเราจะมีความสามารถทำได้ขนาดนั้นไหม

แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไป คนสำมะเลเทเมา ถ้าเขามีศีลของเขา เขาก็หยุดของเขาได้ ถ้าเขาหยุดของเขาได้ เขาก็เป็นผู้ที่มีศีล นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเขามีศีลแล้ว ศีลคือความปกติของใจ ถ้าเขาหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตใจเขาจะมีความสงบระงับเข้ามา ถ้ามีความสงบระงับเข้ามา จากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน ยกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล นี่จิตมันเป็นๆ จิตมันเป็น จิตมันพัฒนาไง ถ้าจิตมันพัฒนาไป

ดูสิ เราศึกษามา เวลาศึกษามา เวลาเราสำเร็จมาแล้วเขาต้องให้ประกาศนียบัตรใช่ไหมว่าผู้นี้มีการศึกษาแล้ว ได้สอบผ่านแล้ว ได้มีคุณวุฒิเท่านั้น เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตใจของเรามันทุกข์มันยาก เวลามีสติปัญญาขึ้นมา เรากำหนดพุทโธๆ พุทธานุสติ กำหนดลมหายใจ อานาปานสติ เวลาสงบเข้ามานี่เป็นกัลยาณปุถุชน แล้วใครเป็นล่ะ ใครเป็นล่ะ? จิตมันเป็น จิตมันเป็น ที่ว่าเราค้นหาตัวเราเอง ปฏิสนธิจิตมันอยู่ที่ไหนไง เราค้นเพื่อเรานี่ไง

ถ้ามันมีไฟ ถ้ามีไฟมันปลุกปลอบตัวเองขึ้นมาให้ฮึกเหิมได้ แต่ถ้าไฟมันมอด ไฟมันมอด มันมีแต่ความเร่าร้อน ไฟมันมอดมันมีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจ เรามีครูบาอาจารย์ของเรากระตุ้นไง ครูบาอาจารย์ของเราคอยกระตุ้นนะ หลวงปู่มั่นท่านบอกเลย พระเวลาเดินไปขาดสติ นี่ซากศพมันเดินได้ ซากศพมันเดินได้ เรายอมเป็นซากศพไหม

เราเป็นคน เรามีสติมีปัญญา เราไม่ใช่ซากศพเดินได้ ถ้าไม่ใช่ซากศพเดินได้ มันก็ต้องกระตุ้น กระตุ้นขึ้นมาให้มันมีกำลังขึ้นมา ถ้ามีกำลังขึ้นมามันมีความมุมานะ มีความเพียรขึ้นมา มีความเพียรขึ้นมา กำหนดพุทโธด้วยความชัดเจน อานาปานสติก็กำหนดด้วยความชัดเจน ถ้ามันสงบระงับเข้ามา สงบระงับเข้ามาก็มีความสุขแล้ว ถ้าจิตสงบมันจะมีความสุขมาก แต่ความสุขอย่างนี้ ความสุขอย่างนี้มันอยู่ในกฎของอนิจจัง มันเจริญขึ้นมันก็แปรปรวนไป โลกนี้ไม่มีอะไรคงที่ โลกนี้สสารทุกอย่างมันแปรสภาพตลอดไป

“ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ” ธรรมชาติมันก็แปรปรวนอย่างนี้ แล้วเรายกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นวิปัสสนาเพราะอะไร เพราะด้วยความละเอียดอ่อน ด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ ด้วยความสุขุมนะ เวลามันเห็นกายขึ้นมา ความเห็น ความเห็นมันผ่านมา ถ้าจิตเราไม่มีสติมันก็ผ่านไป ถ้าจิตเราไม่มีกำลังแล้วมันก็ไหล ภาพมันไม่นิ่ง ถ้าเราฝึกหัดของเราจนภาพมันนิ่งขึ้นมาได้ นี่อุคคหนิมิต ใช้กำลัง ใช้กำลังคือใช้ความคิด ใช้กำลัง ใช้การรำพึงไปให้มันแปรสภาพไป ถ้ามันแปรสภาพของมัน นี่วิภาคะ แยกส่วนขยายส่วน

แม้แต่ความเห็นเราตั้งไว้มันยังตั้งไว้ไม่ได้เลยถ้าจิตไม่มีกำลังนะ มันไหลนะ มันไหลไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามันมีกำลังขึ้นมา มันจับได้ มันมีกำลังไม่พอ จับได้มันก็หยุดนิ่งของมันอย่างนั้น ให้วิภาคะ ให้มันขยายส่วนมันไม่เป็นหรอก มันไม่เป็น วาง ถ้ามีครูบาอาจารย์ ท่านให้วางไว้ วางไว้ แล้วกลับมาพุทโธ กลับมาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ กลับมาเพิ่มกำลัง กลับมาเอาความสดชื่น กลับมาเอาสติ เอาสมาธิ แล้วพอมันมีกำลังขึ้นมา มันสดชื่น มันสดชื่น มันมีกำลังขึ้นมาแล้วย้อนกลับไปพิจารณา ถ้าย้อนกลับไปพิจารณา จับไม่ได้แล้ว กายหายไปไหน ภาพที่เห็นกายไปไหน นี่มันเป็นอดีต อนาคตไง มันต้องเป็นปัจจุบัน มันต้องมีการกระทำ

ครูบาอาจารย์ท่านคอยกระตุ้นๆ ให้เรามีไฟ ถ้ามีไฟมันมีการกระทำ มีการกระทำ เวลาเป็นขึ้นมามันเป็นที่ไหนล่ะ? เวลาเป็นขึ้นมามันเป็นที่หัวใจนั้นไง ถ้าหัวใจเวลามันเป็นขึ้นมา มันเป็นขึ้นมาที่ว่าอนาคามีมันสุดเอื้อมๆ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล มันวิวัฒนาการ มันพัฒนาของมันไป แต่ระหว่างที่วิวัฒนาการ พัฒนาของมันขึ้นไป มันต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้ คอยแนะนำ คอยบอก

ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านไม่มีครูบาอาจารย์ ท่านไม่มีครูบาอาจารย์ ท่านปรึกษากันเอง ปรึกษากันเอง มาทดสอบกันเอง แล้วพยายามขวนขวาย สุดท้ายแล้วท่านก็มาเทียบเคียงกับพระไตรปิฎก เทียบเคียงกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เวลาปฏิบัติแล้วก็มารายงานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เทียบเคียงพระไตรปิฎก มาทดสอบมาตรวจสอบ ตรวจสอบแล้วเข้าทางจงกรม เข้าทางจงกรมพิจารณาของเรา เวลาจิตมันเป็น มันมหัศจรรย์

เวลาศึกษาตามตำรา ตำรามีอยู่แล้ว เราศึกษาตามตำรานะ เราศึกษาแล้วเราก็ซาบซึ้ง “มันจะเป็นไปได้หนอ มันจะปฏิบัติได้หรือเปล่า ใครจะมีความสามารถขนาดนี้” เวลาศึกษาไปแล้วมันเข่าอ่อนไง เพราะสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่เหนือโลก สิ่งที่เหนือจินตนาการ สิ่งที่เราคาดหมายไม่ได้ เวลาเราปฏิบัติขึ้นมามันเป็นขึ้นมาในใจ ตำรามันมีอยู่ในตู้ เวลามันเป็นมันเป็นขึ้นมาในใจ เวลามีสติขึ้นมามันยับยั้งได้หมดเลย เวลามันเกิดสมาธิขึ้นมา เราเกิดปัญญาขึ้นมา โอ๋ย! มันตื่นเต้น มันพัฒนาของมันขึ้นไป

เวลาปฏิบัติขึ้นไปแล้วก็ตรวจสอบ มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมวินัย ตรวจสอบ ตรวจสอบธรรมวินัย เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ที่น่าไว้ใจได้ ที่น่าไว้ใจได้เพราะอะไร เวลาปฏิบัติของเราไป เราเป็นในหัวใจ ไปถามท่าน ถามม้า ตอบช้าง ถามม้า ตอบช้าง ไปไหนมา สามวาสองศอก แล้วเราจะเชื่อเขาได้อย่างไร

ถ้าหลวงปู่มั่นท่านมีชีวิต ดำรงชีวิตของท่านอยู่ หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน ครูบาอาจารย์ท่านจะไปเยี่ยมหลวงปู่มั่น คิดสิ่งใด ทำสิ่งใด ท่านรู้หมดแล้วแหละ เวลาหลวงปู่ขาวท่านเล่าให้ฟัง เวลาเราไป ท่านลากไส้เรามาพูดให้เราฟัง ความเห็นเรา ความคิดเรา ความเป็นในหัวใจของเราท่านลากออกมาพูดให้เราฟัง

นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านมีของท่าน ที่มันไว้ใจได้ ไว้ใจได้อย่างนี้ไง ไว้ใจได้เพราะเราเป็นในใจเราก็สงสัย เราก็ลังเลนะ เอ๊ะ! นี่มันคืออะไร นี่มันคืออะไรนะ ท่านตีแผ่เลย ดึงออกมา มันเป็นอย่างนี้ๆๆ แล้วต้องทำอย่างนี้ๆๆ พัฒนาขึ้นไปอย่างนี้ๆ แล้วเราทำขึ้นไป พอเราทำขึ้นไปแล้วนี่ปัจจัตตัง มันยอมลงตรงนี้ไง ที่กรรมฐานเราเคารพครูบาอาจารย์เพราะครูบาอาจารย์ท่านมีคุณธรรมในใจของท่านไง ถ้าท่านมีคุณธรรมในใจของท่าน มันเป็นความจริงขึ้นมาไง

ถ้ามีครูบาอาจารย์เราก็อบอุ่นใช่ไหม แต่ถ้าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น นี่เป็นวาสนาของท่าน ท่านได้สร้างอำนาจวาสนาของท่านมาเอง ท่านบอกว่าท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วหลวงปู่เสาร์ท่านปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

คำว่า “ปรารถนา” ต้องสร้างบุญญาธิการมา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านเสียสละมาทั้งนั้นแหละ ชีวิตนี้เสียสละตลอด แม้แต่ชีวิตนี้ก็เสียสละ เพราะอะไร ชีวิตนี้เสียสละจากภพชาตินี้ไป มันได้บุญกุศลมันก็ส่งเสริมไปๆ มันไม่ใช่ว่าเสียสละแล้วมันจะจบสิ้น มันไม่จบสิ้นหรอก เพราะว่าคนที่มีวุฒิภาวะ มีปัญญาขนาดนั้น ท่านรู้ได้ของท่านขนาดนั้น ท่านเสียสละของท่านเพื่อพัฒนาการ เพื่อพันธุกรรมของจิต มันวิวัฒนาการของมันขึ้นไป อำนาจวาสนาบารมีสูงขึ้นๆๆ ของมันไป

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็ทำของท่านมา ท่านทำของท่านมา ท่านถึงมีวุฒิภาวะ ท่านถึงมีอำนาจวาสนาบารมีที่สามารถจะพยายามแทงทะลุผ่านอวิชชา พญามาร ครอบครัวของมารนะ ครอบครัวของมารตั้งแต่พญามาร ลูกมาร หลานมาร เหลนมาร มันครอบงำหัวใจเรา ครอบครัวของมาร มารมันคืออวิชชา คือความไม่รู้ในใจของเรา แต่มันรู้เรื่องอื่น รู้เรื่องกิเลสที่มันให้คิด รู้เรื่องกิเลสที่มันชักนำไป มันชักนำเข้าไปประสามัน

นี่ท่านปรึกษากัน ท่านทำของท่านมา ทำของท่านจนเป็นความจริงขึ้นมาในใจ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาในใจ แล้วใครเป็น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมนุษย์นะ ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ในบรรดาครูบาอาจารย์ของเรา พวกเราเคารพหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมากที่สุด เพราะว่าท่านทุกข์มาก่อน ท่านบากบั่นมา คำว่า “บากบั่นมา” ดูสิ เวลาหัวใจของเรา เราไม่ต้องว่าน่าเคารพบูชาขนาดไหน เอาหัวใจของเรา เราไม่มีการศึกษาหรือ? เราก็มีการศึกษา แล้วเรารักตัวเราเองไหม? รัก แล้วเราปรารถนาคุณงามความดีไหม? ปรารถนา แล้วเราพยายามทำของเราไหม? ทำ แล้วมันได้หรือไม่ได้? ไม่ได้ แล้วทำไมของท่านทำไมท่านกระเสือกกระสนของท่านไปได้ล่ะ ทำไมท่านทำได้ล่ะ

มันต้องมีอุบายสิ มันต้องมีอุบายวิธีการ คนทำได้ คนทำงานเป็นเขาสามารถสอนคนที่ทำงานยังไม่เป็น ฝึกหัดๆ จนเป็นได้ เพราะท่านเคยทำเป็นแล้วและทำได้แล้ว มันถึงมีความมั่นใจ มีความมั่นคงไง แต่ของเรามันยังอยากได้ แต่ยังทำไม่ได้ พอทำไม่ได้ พอมีความผิดพลาด กิเลสมันยุเลย มันเสียบเลย กิเลสมันเสียบทันทีๆ เลย แล้วพอเสียบไปๆ ไฟก็มอดไปเรื่อยๆ

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านจะเพิ่มฟืนเพิ่มไฟ ท่านจะเพิ่มเหตุเพิ่มผลให้เรา เหตุผลรวมลงเป็นธรรม ท่านจะกระตุ้นเราเต็มที่เลย กระตุ้นเราเพราะอะไร เพราะศาสนทายาท เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป สงฆ์ในโลกนี้ไม่เคยขาดเลย ถ้าขาด จะบวชพระเรามาไม่ได้

แต่พระอริยสงฆ์ ถ้าพระอริยสงฆ์ไม่เคยขาดเลย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ทำไมท่านไม่แสวงหาของท่าน ทำไมท่านไม่หา คนป่วยต้องหาหมอแน่นอน คนป่วยถ้ามีหมอแล้วใครจะมาดั้นด้นอยู่ของเรากันเอง แต่ท่านไปหาแล้ว ไปรักษากับหมอ หมอให้แต่ของแสลง หมอให้แต่สิ่งที่เป็นโรคเพิ่มมากขึ้น เราก็เจ็บไข้ได้ป่วยพออยู่แล้ว เราก็ทุกข์ยากมากอยู่แล้ว ไปหาท่านเพื่อจะให้ท่านบรรเทาๆ ทำไมมันมีแต่ของแสลงขนาดนั้นนะ เลยต้องออกค้นคว้าหาเอง ออก พยายามทำของท่านเอง

แล้วพอท่านทำได้แล้ว เวลาท่านวางพื้นฐานไว้เพื่อให้พวกเรามั่นคงไง เวลาประพฤติปฏิบัติยากไหม? ยาก คำว่า “ยาก” มันยากเพราะกิเลสของเรา ขิปปาภิญญา ที่เขาบอกปฏิบัติง่ายๆ เขาไปปฏิบัติกัน

คำว่า “ปฏิบัติง่าย” เขาต้องได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีมา เหมือนกับเด็ก เด็กถ้ามีเชาวน์ปัญญา มันมีเชาวน์ปัญญา มันฉลาดมาก เด็กบางคนปานกลาง เด็กบางคน เราพยายามสอน ลูกของเราพยายามสอนขนาดไหนนะ มันก็ไม่ทันเขาสักที ไม่ทันเขาสักที นั่นมันเป็นเพราะอะไรล่ะ มันเป็นเพราะเขาสร้างของเขามา เขาได้สร้างบุญกุศลของเขามา

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของคนที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่ายเขาต้องมีพื้นฐานของเขามา เขาต้องทำของเขามา เขาทำของเขามา แล้วเวลาบอกว่ารู้ง่ายๆ แล้วถ้าเราทำมา เราก็ต้องรู้ง่ายบ้างสิ แต่มันก็ไม่ง่ายสักที มันไม่ง่ายสักทีเพราะอะไร เพราะกิเลสของเราๆ ไง ความคุ้นชินในใจของเรา คุ้นชินความคิดอย่างนี้ แต่ไอ้เรื่องคิดดีๆ มันไม่คิดสักที แล้วถ้าคิดดีๆ ขึ้นมาก็คิดแป๊บเดียว แต่คิดสิ่งที่แผดเผาตัวเอง คิดมากตลอดเวลา แล้วบอกว่าสิ่งนั้นไม่ดี แล้วจะคิดทำไมล่ะ

เราก็ฝึกหัดๆ ทำของเราขึ้นมา แล้วพยายามเพิ่มฟืนเพิ่มไฟ อย่าให้เป็นคนหมดไฟ คนหมดไฟ ไฟมอดนะ แล้วชีวิตนี้อับเฉา แต่ถ้าคนมันมีไฟในตัวเอง แล้วพยายามขวนขวาย คนคนนั้นจะประสบความสำเร็จนะ นี่ก็เหมือนกัน เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราพยายามให้กำลังใจตัวเอง ให้กำลังใจตัวเอง ครูบาอาจารย์ท่านก็ให้กำลังอยู่แล้ว แต่อยู่ข้างนอกใช่ไหม ให้กำลังใจตัวเอง ฮึกเหิม

เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็ทำได้ เราต้องทำได้ เราต้องทำได้ แล้วถ้ามันยังทำไม่ได้ ทำไม่ได้เราก็ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถ ๔ มันทำได้ทั้งนั้นแหละ ทีนี้ถ้ายืน เดิน นั่ง นอน เราเปลี่ยนอิริยาบถของเรา แต่หัวใจ หัวใจมันเฉา หัวใจมันเหงามันหงอย เราพยายามกระตุ้น ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผจญพญามารท่านทุกข์ยากขนาดไหน แล้วเราแค่นี้ ความทุกข์ความยากของเราไม่ได้ขี้เล็บของท่านหรอก

ฉะนั้น ถ้าเราทำความจริงของเรา มันมีธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอยู่แล้ว มีครูบาอาจารย์เป็นหลังอิงอยู่แล้ว แล้วเราทำไมไม่ขวนขวายล่ะ ทำไมเราไม่ขวนขวาย อันนี้เป็นโอกาสของเรานะ อันนี้เป็นเวลาของเรานะ ถ้าเราตายไปก็จบแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน เวลาถ้าจิตเราเสื่อม ถ้าเราไม่สนใจ เราก็จบ เวลาจิตมันเสื่อม เวลากิเลสมันยุนะ เวลามันเลิกไปแล้ว “ดีแล้วนะ ถ้าเรายังอยู่นั่น เรายังโดนเขาหลอกอยู่ต่อไป” มันยังพอใจ กิเลสมันยังให้ช่อดอกไม้ต่อไปนะ แต่ถ้าเราเอาจริงเอาจังของเราล่ะ หักมันให้ได้ ทำมันให้ได้ หักให้ได้

แล้วเวลาจิตมันสงบไปแล้วนะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เราเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา มันจะมหัศจรรย์ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลัทธิศาสนาอื่นเขามีข้อบังคับของเขา แต่ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อิสรภาพ ไม่เคยบังคับใคร ให้ประพฤติปฏิบัติให้เป็นความเป็นจริงขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก

นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เวลาวันมาฆบูชา พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะอะไรล่ะ เพราะมันระลึกถึงบุญถึงคุณไง นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว ไม่ต้องไปบอกเขาหรอก เวลาหลวงตาท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านกราบแล้วกราบเล่าๆ

ถ้าไม่มีศาสดา ไม่มีครูบาอาจารย์ที่ท่านแสวงหามา ไม่มีการวางแนวทางไว้ คนอย่างเราหรือมันจะดั้นด้นมาได้ขนาดนี้ คนอย่างเราหรือมันจะดั้นด้นมาได้ขนาดนี้ มันไประลึกถึงคุณตรงนั้น มันไปเห็นบุญเห็นคุณ ท่านถึงกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจ กราบแล้วกราบเล่านะ ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเบิกทางเอาไว้นะ พวกเราจะมีปัญญาอย่างนี้หรือ ถ้ามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเบิกทางไว้ๆ

บอกว่า พระกรรมฐานไม่เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...อ้าว! ว่าไปนู่น เคารพ เคารพมากๆ แต่เวลาปฏิบัติแล้วมันปฏิบัติอยากได้เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก อยากได้ของจริง นั้นเป็นศาสดาของเรา แต่ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เราจะทำขึ้นมาท่ามกลางหัวใจนี้ เอวัง